ได้แต่คิด แต่ไม่ลงมือทำสักที

คุณกำลังเป็นแบบนี้อยู่ใช่ไหม ? "ได้แต่คิด ไม่ลงมือทำสักที"

ยาวไปเลือกอ่าน 📖

คุณกำลังเป็นคนที่ "ได้แต่คิด แต่ไม่ลงมือทำสักที" อยู่รึเปล่า ?

     ในโลกยุคปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่คอยสนับสนุนให้ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้แบบจะไม่จำกัด คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าหลาย ๆ คนจะเห็นโอกาสการพัฒนาตัวเองมากมาย และมันก็คงจะน่าเสียดายถ้าคุณไมได้มีโอกาสทำสิ่งเหล่านี้ ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณไปในทางที่ดีขึ้น 

 

แต่ความจริงที่น่าเสียดายคือ บ่อยๆครั้ง “คุณมักจะไม่ได้เริ่มทันที” ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
ซึ่งอาจเป็นเพราะ

 

  • 🚫 ข้อมูลยังไม่พร้อม 
  • 🚫 อุปกรณ์/เครื่องมือยังไม่ครบ 
  • 🚫 ยังไม่ใช่โอกาสที่เหมาะสม 
  • 🚫 ยังไม่ถึงเวลาของมัน 

     ถ้าคุณเคยพูดกับตัวเองด้วยประโยคที่ใกล้เคียงกับประโยคเหล่านี้  ในตอนที่คุณคิดว่าคุณควรจะเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ นั่นอาจจะหมายความว่า คุณอาจกำลังรอให้หลายๆอย่าง Perfect … จนคุณไม่ได้เริ่มลงมือทำสักที

 

 

     การไม่ได้เริ่มลงมือทำ เปรียบเสมือนกับการพลาดโอกาสบางอย่างในชีวิตคุณไป การไม่ได้ลงมือทำนั้น อาจจะมีผลกระทบกับเส้นทางการดำเนินชีวิตในหลาย ๆ มิติ มากกว่าที่คุณคิด

     หลาย ๆ คนที่กำลังหา Passion ในชีวิต ค้นหาตัวเองว่าสิ่งที่ตัวเองชอบคืออะไร แต่ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ยังหาไม่เจอ เป็นเพราะว่า “ไม่ได้เริ่มลงมือทำ”  หรือ “ลงมือทำน้อยกว่าที่คิด” ก็เลยทำให้พลาดโอกาสที่จะเรียนรู้ และใช้เวลาในการพิสูจน์ว่า เราชอบ หรือไม่ชอบอะไรจริง ๆ

 

💡 วันนี้ LifeEnricher จะมาบอกถึงเหตุผลว่า ทำไมคนส่วนมากที่คิด แต่ไม่ทำ ปัญหาจริง ๆ อยู่ที่อะไร และต้องแก้ไขที่ตรงไหน     ไปดูกันเลย!

🙌🏻 เหตุผลที่คุณไม่เริ่มลงมือทำ ลองสำรวจดูว่าคุณเป็น Perfectionist รึเปล่า ?

     ก่อนอื่นเลยความหมายของ “Perfectionist” ที่อ้างอิงมาจาก Merriam-Webster (Dictionary ที่ได้รับความไว้วางใจจากชาวอเมริกันมากที่สุด) คือ “ผู้ที่ไม่สามารถยอมรับ ผลลัพธ์ใดๆก็ตาม ที่ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ (ในมุมมองของเขา) และมีทัศนคติที่ไม่ยอมรับความล้มเหลว” โดยให้ความหมายกับความล้มเหลวว่าเป็น “การไม่มีคุณค่า” โดยที่มาตรฐานที่ใช้ชี้วัด มักจะเป็นการตั้งมาตรฐานที่สูงเกินความจริง

 

 

ดังนั้น Perfectionist ส่วนใหญ่ มักจะทำงาน และไม่ยอมปล่อยงานที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่ จนกว่าจะ “สมบูรณ์แบบที่สุด” ในความคิดของเขา บอกกันตรงนี้เลยว่า คนกลุ่มนั้นไม่ได้มีปัญหาการ “ไม่ลงมือทำ” แต่คนเหล่านั้นอาจจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการปล่อยวาง ซึ่งจะไม่ได้กล่าวถึงในบทความนี้

อย่างไรก็ตามจะมี Perfectionist บางกลุ่มที่กำลัง “ผัดวันประกันพรุ่ง” ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ หรือไม่อยากลงมือทำ แต่เพราะว่าเขาเหล่านั้นตั้งความหวังไว้สูงจนเกินไป และทำให้เกิดความ “กลัว” ที่จะลงมือทำ เพราะเขาไม่อยากจะทำให้ผลลลัพธ์ออกมาด้อยกว่าที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้ และคิดว่าตัวเองไม่สามารถทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ตั้งใจไว้ได้

 

เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือ คนที่ยังไม่เริ่มลงมือทำ อาจจะเป็น Perfectionist หรือไม่เป็นก็ได้ ดังนั้นบทความนี้จะไม่ให้ความหมายว่าอะไร “ดี” หรืออะไร “ไม่ดี” แต่จะกล่าวถึงสาเหตุหลาย ๆ อย่างที่อาจจะกำลังทำให้คุณ เลือกที่จะไม่ลงมือทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าคุณจะเป็นคน Type ใดก็ตาม ทั้งเรื่อง สภาวะอารมณ์ , Automatic thought , ทัศนคติ หรือความเชื่ออะไรก็ตามที่เหนี่ยวรั้งคุณ และทำให้คุณ “ไม่ได้ลงมือทำ”

 

รวมถึงจะแนะนำ 4 เทคนิค ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ และฝึกฝนเพื่อให้คุณได้ “ลงมือทำ” มาดูกันว่าอะไรที่ทำให้คุณ ไม่ลงมือทำ สักที

1. ไม่ลงมือทำทันที และคิดว่า “เดี๋ยวก่อน, รอก่อน, แปบนึง” ⏳

     คุณอาจจะยังไม่เห็นว่าการ “รอ” ไม่ได้แค่ทำให้เสียเวลา แต่การ ”รอ” จะเกิดความคิดที่อาจจะทำให้เกิดความ “กลัว” ที่จะทำสิ่งที่คุณตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก

 

 

💡 ถ้าคุณลองสังเกตตัวเองดี ๆ ความคิดที่เกิดขึ้นมาในหัวนั้นมักจะเกิดจากสิ่งเร้ารอบตัว เช่น เมื่อคุณเห็นคนหุ่นดีกำลังได้รับความสนใจ  ณ จุดนั้นคุณจะอยากดูแลและเปลี่ยนแปลงตัวเอง “เดี๋ยวฉันจะต้องเข้า Fitness บ้างแล้ว” ณ จุดนั้นไม่มีอะไรมาเปลี่ยนความตั้งใจของคุณได้เลย นั่นคือจุดที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้นเส้นทางแห่งการหุ่นดีของคุณได้

 

     แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปผ่านไป คำว่า “เดี๋ยวก่อน” ของคุณที่ไม่ทำให้คุณลงมือทำ จะทำให้เกิดความคิดอื่น ๆ เพิ่มขึ้นมา เช่น “คงต้องใช้เวลาหลายปีแน่เลยกว่าจะหุ่นดี” หรือ “ถ้าฉันไม่ได้กินอะไรที่อยากกินแล้วล่ะ”

 

 

และเวลาที่ว่านั่น อาจจะไม่ใช่เวลาที่นานอย่างที่คุณคิด บางครั้ง 1 วัน , 2 ชั่วโมง หรือบางครั้ง แค่ 5 นาที ความคิดของคุณอาจจะเปลี่ยนไปจากจุดแรกที่ความคิดนั้นเกิดขึ้นมาแล้วก็ได้ ลองคิดดูเล่นๆว่า คุณอาจจะกำลังพลาดโอกาสที่จะดูดี เพียงเพราะคุณปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่ไม่เริ่มลงมือทำ แค่ 5 นาที คุณเสียดายไหมครับ?

 

    ดังเมื่อคุณตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่าง ให้นับถอยหลัง 5 วิ แล้วทำเลย นี่คือวิธีหลีกหนีเสียงในหัวที่คอยฉุดรั้งคุณไม่ให้คุณลงมือทำได้ครับ

 

และถ้าอยากเริ่มลงมือทำ แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ทำยังไง ?

 

 

     ยกตัวอย่างเดิมจากข้างต้นว่า ถ้าคิดอยากจะหุ่นดี แต่สถานการณ์รอบตัวไม่อำนวยให้ทำ “เดี๋ยวนั้น” ก็ไม่จำเป็นจะต้องออกกำลังกายเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้ คุณอาจจะหยิบมือถือขึ้นมา ใช้เวลาสั้นๆ ลงตารางใน Calendar ของคุณว่า วันนี้ เวลานี้ ฉันจะออกกำลังกาย 

 

ดังนั้นความชัดเจนก็เป็นสิ่งสำคัญอีกหนึ่งเรื่องในการลงมือทำ และถามคำถามที่กระตุ้นให้เกิดการลงมือทำได้ เช่น

  • คุณจะทำอะไร ?
  • คุณจะเริ่มวันไหน ?
  • คุณจะเริ่มเมื่อไหร่ กี่โมง ?

     การลงมือทำทันที และการกำหนดเวลาที่คุณจะเริ่มทำ ก็คือวิธีหนึ่งในการส้รางความชัดเจนให้กับตัวคุณเอง และนี่คือเทคนิคแรกที่จะทำให้คุณ “เริ่มลงมือทำ” 

2. มอง worst / best case scenario

     แน่นอนว่ากิจกรรมบางอย่างมีความเสี่ยง และในความเสี่ยงนั้น อาจจะทำให้เกิดความ “กลัว” ขึ้น ซึ่งความกลัวนี้ ไม่ใช่เรื่องผิด ในทางจิตวิทยาให้ความหมายกับอารมณ์ต่างๆว่า อารมณ์ เกิดขึ้นเพราะจิตใต้สำนึกของคุณ กำลังพยายามจะบอกอะไรคุณบางอย่างผ่านอารมณ์เหล่านั้น ดังนั้นความ “กลัว” ที่เกิดขึ้น อาจจะกำลังพยายามบอกอะไรบางอย่างกับคุณอยู่ก็ได้ เพียงแค่คุณยอมรับคำเตือนเหล่านั้น และลองนั่งวิเคราะห์ดูว่า ความกลัวนั้นเกิดขึ้นจากอะไร

 

     ดังนั้นเทคนิคที่ 2 คือการพาตัวเองไปอยู่ในเหตุการณ์ที่ เลวร้ายที่สุด และดีที่สุด ที่จะสามารถเกิดขึ้นได้จากการทำกิจกรรมนั้น ๆ

👎🏻 ลองจินตนาการถึง Worst case scenario

 

Worst case scenario คือเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดที่สามารถจะเกิดขึ้นได้ มีความเสี่ยงอะไรบ้าง? หากล้มเหลวจะมีผลกระทบอย่างแย่ที่สุดกับคุณมากแค่ไหน?

 

เมื่อคุณเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ สิ่งต่อมาที่ต้องทำคือ หาวิธีรับมือกับมัน ตัวอย่าง ถ้าต้องออกกำลังกาย Worst case คือคุณอาจจะออกกำลังกายผิดท่า แล้วทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ อย่างแย่ที่สุดอาจจะกระดูกหัก คุณอาจจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำเวลาออกกำลังกาย หรือคุณอาจจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะเริ่มออกกำลังกาย

และเมื่อคุณเห็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ พร้อมทั้งมีวิธีรับมือไม่ได้ปัญหานั้นเกิดขึ้น หรือมีวิธีแก้ไขเมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นแล้ว และถ้าคุณเห็นภาพว่าสามารถจัดการกับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดได้แล้ว จะมีอะไรน่ากลัวอยู่อีก จริงไหมครับ?

 

👍🏻 ลองจินตนาการถึง Best case scenario

 

      Best case scenario  คือเหตุการณ์ที่ดีที่สุด บางครั้งผลลัพธ์อาจจะดีกว่าที่คุณคิดเอาไว้ในตอนแรกก็เป็นได้ จากตัวอย่างข้างต้น คุณเริ่มอยากออกกำลังกายเพราะคุณเห็นคนที่หุ่นดี และเป็นที่สนใจ

 

เหตุการณ์ที่ดีที่สุด นอกจากจะเป็นภาพที่คุณหุ่นดี อาจจะมีคนอยากรู้จักคุณ คุณดึงดูดผู้คนให้มาสนใจในตัวคุณได้ นอกจากนั้นสิ่งนี้ยังทำให้คุณ มั่นใจ ผู้คนชื่นชมในระเบียบวินัยของคุณ รูปร่างที่น่าดึงดูดของคุณ หรือดึงดูดคนที่กำลังหาเพื่อนร่วมงานที่มีระเบียบวินัย คนที่สามารถ commit กับสิ่งหนึ่งได้เป็นระยะเวลานานจนปรากฏเป็นผลสำเร็จออกมา

กิจกรรมหนึ่งอย่าง อาจจะเริ่มจากเป้าหมายเพียงแค่อย่างเดียว แต่ทุกสิ่งบนโลกไม่ได้มีแค่มิติเดียว ต่างคนต่างมีมุมมองที่ต่างกัน ตัวคุณเองเมื่อเวลาผ่านไปคุณอาจจะมีมุมมองใหม่ ๆ กับเรื่องเดิมเกิดขึ้นมาก็เป็นได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ถ้าเป้าหมายของคุณอาจจะให้อะไรมากกว่าที่คุณคาดหวังไว้ในตอนแรก และก็คงจะดีไม่น้อย ถ้าคุณลงมือทำอะไรสักอย่างโดยมีเป้าหมายเหล่านี้เป็นแรงผลักดัน

 

ดังนั้นเทคนิคที่ 2 คือการฟังเสียงตัวเอง วิเคราะห์ว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น กำลังเตือนอะไรเราอยู่ แปลงคำเตือนเหล่านั้นออกมาให้ชัดเจนว่า Worst case / Best case เกิดอะไรขึ้นได้บ้าง คิดภาพว่าถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้น คุณจะแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร คุณจะรับมืออย่างไร และหากคุณทำสำเร็จ มันจะมีอะไรเกิดขึ้นได้อีกบ้าง ?

3. ตีสนิทกับความล้มเหลว

     “ความล้มเหลว” คงจะเป็นคำที่หลายๆคนให้ความหมายในทางลบ ความล้มเหลวทำให้คุณสูญเสียอะไรหลาย ๆ อย่าง ความล้มเหลวทำให้คนไม่ยอมรับในตัวคุณ และบ่อยครั้ง ที่ “ความล้มเหลว” ทำให้เกิดความ ”กลัว” ขึ้นมา และทำให้หลาย ๆ คนเลือกที่จะเลี่ยงไม่ทำกิจกรรมนั้นเลย เพราะถ้าไม่ทำ คุณก็ไม่ล้มเหลว แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณไม่ทำ คุณก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน

 

     ในทางจิตวิทยา “ความกลัว” คืออารมณ์ลบอย่างหนึ่ง และอารมณ์ทั้งหมด ล้วนเกิดขึ้นมาจาก “ความเชื่อ” และ “ความคิด” เพื่อส่งข้อความบางอย่างมาบอก หรือเตือนเรา และ “ความเชื่อ” เกิดขึ้นจากประสบการณ์ในอดีต ที่เคยเกิดขึ้น เหตุการณ์ในอดีตบางอย่างอาจจะกำลังเตือนเราในปัจจุบันอยู่ว่า ถ้าเราลงมือทำอะไรบางอย่าง เราจะล้มเหลว และความล้มเหลว เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้ เลยเป็นสาเหตุให้หลาย ๆ คน “ไม่ลงมือทำ”

 

     แต่จริงๆแล้ว “ความล้มเหลว คือทางลัดที่ดีที่สุด เพื่อจะไปถึงการประสบความสำเร็จ” แน่นอนว่าหากวัดจากผลลัพธ์ การล้มเหลวอาจจะทำให้ไม่เกิดความคืบหน้าขึ้น หรือบางครั้งอาจจะทำให้คุณถอยหลัง แต่ในด้านของการพัฒนาและเติบโตของตัวคุณเอง “ความล้มเหลว คือการเดินหน้าที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดอย่างหนึ่ง” เพราะเหมือนกับที่คุณได้อะไรบางอย่างจากการทำสำเร็จ ความล้มเหลวก็ให้อะไรหลาย ๆ อย่างกับคุณเหมือนกัน

 

     คุณคือมนุษย์คนหนึ่ง การมีความสามารถที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆ และการทำอะไรเป็นครั้งแรก ก็มักจะมีสิ่งที่ต้องแก้ไขตามมาเป็นเรื่องปกติ การเรียนรู้จากเรื่องที่ต้องแก้ไข คือความสมบูรณ์แบบของการเป็นมนุษย์ จึงเป็นที่มาของประโยคที่พูดว่า “Perfection is Imperfection” ความสมบูรณ์แบบ คือการผิดพลาด เรียนรู้ และพัฒนาอย่างไม่รู้จบ อาจจะเคยฟังหลายๆคนที่พูดว่า ถ้าจะให้งานสมบูรณ์เรียบร้อยเป๊ะ ๆ ให้มันเป็นหน้าที่เครื่องจักรเถอะ แต่ถ้าสังเกตจริง ๆ กว่าเครื่องจักรจะทำงานได้มีประสิทธิภาพ ก็ต้องอาศัยการปรับแต่งกันไม่น้อย กว่างานที่ออกมาจะเป็นไปอย่างที่คุณต้องการ

สรุป

     ทุกคนล้วนกลัวความล้มเหลว และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คุณไม่เริ่มลงมือทำสักที ! แต่ถ้าคุณปล่อยให้ความกลัวนั้นหยุดคุณไว้ คุณอาจพลาดโอกาสที่จะเติบโตและประสบความสำเร็จในชีวิต ลองจินตนาการถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น แล้วหาวิธีรับมือกับมัน ความกลัวจะลดลงไปเมื่อคุณเตรียมตัวพร้อม และเมื่อคุณพร้อมที่จะรับมือกับ Worst case สิ่งที่ดี ๆ ก็จะเริ่มมีโอกาสเกิดขึ้น เพราะเป้าหมายและความสำเร็จไม่ได้มาจากความสมบูรณ์แบบ แต่มาจากการลงมือทำ เรียนรู้จากความล้มเหลว และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้น ลงมือทำเถอะ ความสำเร็จอาจจะอยู่ใกล้กว่าที่คุณคิด!

หากคุณเป็นหนึ่งคนที่กำลังเจออุปสรรคที่ขัดขวางให้คุณไม่ประสบความสำเร็จซักที!    โอมอยากเชิญชวนทุกคนมาเรียนรู้ด้วยกันใน “หลักสูตร Self Breakthrough X”  ผสาน 3 ศาสตร์การพัฒนาตัวเอง (ศาสตร์การโค้ช PPC + จิตวิทยาสื่อประสาท NLP + การสะกดจิตบำบัด EHT)

ที่จะพาคุณไป Workshop เข้มๆ รู้จักตัวตนของตัวเองอย่างแท้จริง ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้   

 

แล้วเจอกันนะครับ 🚀

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  หรือช่องทางการติดต่อด้านล่าง

 โทร  : 0936955699 (คุณจีจี้)  / 0949994922  (คุณเฟียส)